ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก
ตอนที่ 591 พลังอันไร้ขีดจำกัด
หานเซิ่นไม่กล้าห้ามควีนไม่ให้ออกไป เพราะยังไงเขาก็ละอายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก ตอนนี้เขาแทบจะมองหน้าเธอไม่ติด
"หลังจากที่ผมปลดล็อคยีนได้แล้ว ผมจะไปพบคุณได้ที่ไหน?" หานเซิ่นถาม
"ติดต่อหวงฟูผิงชิง หล่อนจะบอกให้นายรู้เอง" ควีนตอบ จากนั้นเธอก็เดินออกจากประตูไป
หลังจากที่เธอก้าวออกจากห้อง เธอหยุดและพูด "เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถ้ามันรั่วไหลออกไป นายตายสถานเดียว" จากนั้นเธอก็เดินจากไป
เมื่อเห็นควีนไปแล้ว หานเซิ่นก็คิดเกี่ยวกับคำพูดของเธอ การที่เธอพูดแบบนั้นแสดงว่าเธอปลดล็อคยีนได้แล้วแน่ๆ เธอยังพูดอีกว่ามาร่วมกับเรา แสดงว่าเธอไม่ได้ไปล่าคนเดียว
มอนสเตอร์ตัวนั้นทรงพลังถึงขนาดไหน ขนาดควีนที่มีทีมอยู่แล้วก็ยังมาหาสมาชิกเพิ่มอีก? ความเป็นไปได้เดียวที่หานเซิ่นพอจะคิดได้ก็คือมันจะต้องเป็นมอนสเตอร์ขั้นสุดยอดแน่ๆ
"พวกเขาจะเคยฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดกันมาก่อนรึเปล่า?"
ตอนนี้หานเซิ่้นสงสัยอย่างมาก แต่เขายังไม่ได้ปลดล็อคยีน เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไปเข้าร่วมกับเธอ
"เหมือนว่าเราต้องรีบฝึกศาสตร์ตงเสวียนซะแล้ว" หานเซิ่นยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เขากำลังคิดอยู่ว่าถ้าเขาต้องการปลดล็อคยีนขั้นแรก วิธีที่เร็วที่สุดน่าจะต้องใช้กายหยกมากกว่า แต่เขายังกลัวอยู่ว่าถ้าเกิดปลดล็อคยีนด้วยกายหยก เขาจะกลายเป็นคนโหดเหี้ยมเหมือนกับคนตระกูลเสวียรึเปล่า ตอนนี้มันยังยากที่เขาจะตัดสินใจ
"เราก็ฝึกศาสตร์ตงเสวียนมานานแล้ว บางทีมันอาจจะทำให้กายหยกบริสุทธิ์ขึ้นได้ ลองดูละกัน!"
หานเซิ่นอยากรู้มากว่ามอนสเตอร์ที่ควีนจะไปล่าใช่มอนสเตอร์ขั้นสุดยอดรึเปล่า ที่สำคัญพวกเขาเคยฆ่ามอนสเตอร์ขั้นสุดยอดมาก่อนรึเปล่า ความสงสัยของเขาทำให้เขาเสี่ยงที่จะกลับมาฝึกกายหยก
ตอนนี้เขาฝึกศาสตร์ตงเสวียนจนก้าวหน้ามากแล้ว ถ้ามีปัญหาขณะฝึกกายหยก เขาคิดว่าน่าจะใช้ศาสตร์ตงเสวียนยับยั้งมันได้
แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มฝึกกายหยก เขากลับไปที่บ่อน้ำเพื่อหาเก็บเห็ดสีแดง หลังจากที่ได้เห็ดมา เขาก็ตัดมันเป็นชิ้นเล็กๆ และใช้มันช่วยฝึกวิชาตะวันหยก ถึงเขาจะยังได้รับผลข้างเคียงอยู่บ้าง แต่มันก็อยู่ในระดับที่เขาควบคุมตัวเองได้
หลังจากที่เขาดูดซับพลังจากเห็ดสีแดง ไตของเขาก็เริ่มส่องแสงออกมา ตอนนี้เขารู้สึกว่าพลังของเขามันไร้ขีดจำกัด
หานเซิ่นรู้สึกว่าไตของเขาแปลกๆไป ถึงเขาจะฝึกวิชาตะวันหยกเหมือนปรกติ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันต่างออกไป ตอนนี้มันมีแสงสีม่วงๆกำลังส่องออกมาจากไตของเขา
'แสงสีม่วงจะต้องเป็นพลังที่ควีนใช้ใส่เราแน่ๆ มันคงเป็นพลังที่เธอได้จากการปลดล็อคยีนขั้นแรก แต่เราจะสามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้รึเปล่า ยังไม่แน่ใจด้วยว่ามันจะเป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่ แต่ตอนนี้เหมือนมันจะฝังอยู่ในไตของเราเรียบร้อยแล้ว' หานเซิ่นใช้ความคิดอย่างหนัก
หานเซิ่นฝึกตะวันหยกไปเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าแสงสีม่วงของควีนจะส่งผลเสียอะไร หลังจากที่เขากินเห็ดที่เก็บมาจนหมด ตะวันหยกของเขาก็สมบูรณ์แล้ว ตอนนี้ไตทั้ง 2 ข้างของเขากำลังส่องแสงออกมาเหมือนกับเตาหลอม มันส่งพลังให้กับหานเซิ่นตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง
หานเซิ่นไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวกับที่เขาสำเร็จวิชาตะวันหยกรึเปล่า เพราะตอนนี้มนตรานอกรีตก็สำเร็จขั้นที่ 3 'ยืดอายุ' เรียบร้อยแล้ว
ที่ผ่านๆมาเมื่อหานเซิ่นใช้วิชามนตรานอกรีต ถึงเขาจะได้รับพลังมหาศาล แต่เขาก็ไม่สามารถใช้มันได้นานนัก เพราะหัวใจของเขาไม่สามารถทนรับภาระได้ ถ้าเขาฝืนใช้มันนานๆก็จะส่งผลเสียกับร่ายกาย แต่หลังจากที่เขาสำเร็จขั้นยืดอายุ ไม่ใช่แค่พลังของมันจะสูงขึ้นเท่านั้น แต่เขายังสามารถใช้พลังอย่างไม่มีขีดจำกัด โดยไม่ทำให้ร่างกายของเขาเสียหาย
"ด้วยตะวันหยกกับมนตรานอกรีดขั้นที่ 3 ก็เหมือนมีพลังที่ไร้ขีดจำกัด เราสามารถใช้วิชาที่กินพลังได้ติดต่อกันโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย" หานเซิ่นรู้สึกมีความสุขกับความก้าวหน้ามาก
มันเป็นความสามารถที่ดูจะโกงมาก ถึงมันจะดูไม่มีอะไรพิเศษ นอกจากมีพลังงานไม่จำกัด แต่แค่นั้นมันก็สุดยอดมากแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น วิชาสายลมสังหารของอีตงมู่ มันเป็นวิชาที่เขาทุ่มพลังและสมาธิทั้งหมดในการโจมตี หลังจากที่โจมตีแล้ว เขาก็ต้องใช้เวลาพักนานกว่าจะโจมตีได้อีก
แต่ตอนนี้หานเซิ่นสามารถใช้มันได้รัวๆ เหมือนกับเป็นการโจมตีธรรมดาๆเลย เขาไม่จำเป็นต้องพักเลยสักนิด
เหมือนกับการเล่นเกม ผู้เล่นจะต้องรวบรวมพลังนานกว่าจะใช้ท่าไม้ตายหรืออันติได้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นสามารถกดใช้มันได้รัวๆ
ตะวันหยกกับมนตรานอกรีตขั้น 3 เป็นวิชาผสานที่น่ากลัวมาก แค่คิดตัวของหานเซิ่นก็สั่นไปหมดแล้ว
แต่เขาก็ได้แค่คิด เพราะตอนนี้หานเซิ่นไม่รู้วิธีใช้วิชาสายลมสังหาร ไม่ว่าเขาจะมีพลังไร้ขีดจำกัดยังไง ถ้าไม่รู้วิธีใช้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่เขาก็ยังมีวิชามีดอัสนีที่ได้จากซินเสวียนอยู่ เมื่อก่อนหลังจากโจมตีแล้ว เขาจะต้องเว้นระยะเพื่อพื้นพลังประมาน 8 วิ กว่าจะโจมตีได้อีก แต่ตอนนี้เขาสามารถใช้มันได้เรื่อยๆ
"เหมือนว่าเราต้องดัดแปลงวิชาดาบคู่เพิ่มอีกหน่อยแล้ว" หานเซิ่นรู้สึกมีความสุขมาก ความก้าวหน้านี้มีความหมายกับเขามาก
ด้วยพลังกายอันเหลือล้น เขาสามารถแก้ปัญหาการที่วิชาดาบคู่ของเขาขาดท่าที่มีพลังรุนแรง ตอนนี้เขาสามารถใส่กระบวนท่าที่รุนแรงเข้าไปเพิ่มได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะสิ้นเปลืองพลังงาน
ตอนนี้เขาคิดว่าจะหาท่าไม้ตายของวิชาอื่นๆเข้ามาผสมผสานด้วย เขาคิดว่าหลังจากดัดแปลงแล้ว ประสิทธิภาพของวิชาดาบคู่น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ซึ่งมันทำให้เขาเอาชนะสปิริตแฝดได้อย่างสบาย
หานเซิ่นต้องการเร่งทำการดัดแปลงวิชาดาบคู่ให้เร็วที่สุด ตอนนี้หานเซิ่นต้องการท่าไม้ตายของแต่ละวิชา ดังนั้นเขาจึงใช้ใบอนุญาตเรียนวิชาระดับSของผู้วิวัฒนาการ 5 ใบเพื่อซื้อวิชาดาบมา 5 วิชา และเขาก็เอาท่าไม้ตายของแต่ละวิชามาดัดแปลงมาเป็นส่วนหนึ่งของวิชาดาบคู่ของเขา
ตอนนี้วิชาดาบคู่ของเขาเป็นวิชาที่มีกระบวนท่ามากกว่า 100 กระบวนท่า ซึ่งหานเซิ่นต้องลดจำนวนกระบวนท่าลง เขาเลือกเอากระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดไว้ 50 กระบวนท่า หลังจากฝึกซ้อมและดัดแปลงต่อไปอีก ในที่สุดหานเซิ่นก็สามารถลดจนเหลือแค่ 12 กระบวนท่าได้
ดาบแต่ละข้างของเขาจะมี 12 กระบวนท่า ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่สมบูรณ์แบบที่สุด แค่กระบวนท่าเดียวก็พิเศษและรุนแรงมากพอแล้ว ยิ่งถ้าเขาเอามันมาใช้ผสานกันและใช้ต่อเนื่องไม่มีหยุด เขาไม่คิดว่าจะมีคู่ต่อสู้คนไหนต้านวิชาดาบคู่ของเขาได้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีระดับความแข็งแกร่งสูงกว่าหานเซิ่นก็ตาม
"ในที่สุดก็ได้วิชาดาบคู่ที่เราต้องการสักที การจัดการกับสปิริตคงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แต่สงสัยจริงๆว่าชีซิวเหวินเจรจาไปถึงไหนแล้ว"
หานเซิ่นแทบจะรอวันที่จะไปบุกยึดเมืองสปิริตไม่ไหวแล้ว
ชีซิวเหวินไม่สามารถหาหนทางเจรจาให้หลี่ซิงหลุนเเละฟิลิปยอมร่วมมือได้ เพราะมันติดปัญหาเรื่องแมลงสีเงิน พวกเขากลัวแมลงสีเงินจนไม่กล้าไปโจมตีเมืองสปิริตอีก
ดังนั้นชีซิวเหวินจึงต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อให้หลี่ซิงหลุนและฟิลิปยอมตกลงที่จะร่วมโจมตีเมืองสปิริต
"ในที่สุดทุ่งน้ำแข็งแห่งนี้ก็จะตกมาเป็นของฉันคนนี้!" ชีซิวเหวินเดินทางกลับไปที่เมืองเเบล็คก็อตอย่างตื่นเต้น
การยึดเมืองสปิริตและปกครองมันได้ก็เท่ากับว่าเขาจะมีอิทธิพลมากที่สุดในทุ่งน้ำแข็ง ซึ่งมันทำให้เขาตื่นเต้นมาก ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าตัวเองดีพอที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากพ่อของเขาได้แล้ว