ตอนที่ 460 เมืองที่ดูผิดปรกติ

ด้วยการที่มีคนแรกเริ่มก่อน ทำให้มีอีกหลายๆคนลุกขึ้นตามมา พวกเขายอมถูกฉีกสัญญา และถอนตัวออกจากกลุ่มเทพธิดา


หลายๆคนเชื่อว่าหานเซิ่นไม่มีปัญญาที่จะยึดเมืองสปิริตได้จริง เพราะในเมืองมีมอนสเตอร์กลายพันธ์อยู่จำนวนมาก และสปิริตขุนนางก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะ ถ้าสปิริตสโตนไม่ถูกทำลาย


ก่อนที่จะทำลายสปิริตสโตนได้ สปิริตสามารถเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ จะเรียกว่าอมตะก็ไม่ผิด ที่สำคัญไม่มีใครรู้ว่าภายในเมืองมีมอนสเตอร์โบราณและกลายพันธ์อยู่กี่ตัว กลุ่มเทพธิดามีสมาชิกอยู่ประมาน 200 คน และพวกเขาส่วนมากก็ขาดจีโนพ้อยโบราณกัน การยึดเมืองสปิริตเป็นเป้าหมายที่สูงเกินกำลังของพวกเขา


กลุ่มเทพธิดาที่มีสมาชิก 200 คน สูญเสียสมาชิกไปมากกว่าครึ่งในเวลาไม่นาน ตอนนี้เหลือคนที่ยังไม่ถอนตัวออกไปประมาน 30-40 คนเท่านั้น


หานเซิ่นเตรียมใจไว้แล้ว แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าคนจะถอนตัวกันมากขนาดนี้ คนที่ไม่ถอนตัวส่วนมากเป็นพวกคนวัยไล่เลี่ยกับสวี่โหย่ว คนที่อายุเกิน 40 มีแค่ 3-4 คนเท่านั้น


แต่ที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจก็คือชายวัยกลางคนที่เคยพูดจากเสียดสีหานเซิ่นยังอยู่ในกลุ่มด้วย


หานเซิ่นจำได้ว่าเขาชื่อเจิ้งกั๋วหยง เขาเข้ามาก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ก่อนหน้าหานเซิ่นประมาน 20 ปี ด้วยการวิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิ แต่เขาคงไม่คิดไม่ฝันว่าจะถูกส่งมาในที่ที่เลวร้ายแบบนี้ ในช่วง 2 ทศวรรคที่ผ่านมา เขาแทบจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เมื่อหานเซิ่นก่อตั้งกลุ่มเทพธิดาขึ้นเขาก็มาเข้าร่วมด้วย


"พี่ชาย พวกเรายังคงจะไปยึดเมืองสปิริตอยู่ไหม" จูถิงกระซิบถามหานเซิ่นอย่างเป็นกังวล หลังจากเห็นจำนวนคนที่เหลืออยู่


"แน่นอน ฉันบอกแล้วว่าพวกเราจะบุกไปพรุ่งนี้ และจะไม่เปลี่ยนแปลง กลับไปเตรียมตัวกันได้แล้ว และมาค่อยรวมตัวกันที่นี่ตอน 6 โมงเช้า" หานเซิ่นพูด


เหตุผลที่หานเซิ่นต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้ก็เพราะเขาต้องการทดสอบคนที่เหลือ บางทีพวกเขาอาจจะตื่นเต้นหรือโดนสภาพแวดล้อมทำให้ตัดสินใจแบบนี้ แต่ถ้าพวกเขามีเวลาให้คิดอีก 1 คืนเต็มๆ พวกเขายังจะกล้าไปอยู่อีกรึเปล่า ถ้าพวกเขายังกล้า พวกเขาก็ถือเป็นเพชรชั้นดีที่พร้อมรับการเจียระไน


ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้ว หานเซิ่นไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้ติดตามกี่คน ตราบใดที่เขามีซีโร่อยู่ เขาก็อุ่นใจ จริงๆเขาไม่ต้องการให้ซีโร่ลงมือด้วยซ้ำ ถ้าเขายึดมันได้ด้วยมือตัวเองก็จะเป็นอะไรที่วิเศษมาก เหตุผลที่เขาพาคนไปด้วยก็เพราะเขาต้องการหาคนที่มีพรสวรรค์ คนพวกนี้จะมีหน้าที่บริหารจัดการเมืองหลังจากที่เขายึดมันได้แล้ว


"นายจะพาคนไปยึดเมืองสปิริตจริงๆหรอ?" หลังจากที่ทุกคนกลับไปหมดแล้ว หยางม่านลี่ก็ถามหานเซิ่นอย่างจริงจัง


"จะมาถามอะไรตอนนี้ล่ะ? เธอไม่เชื่อว่าฉันสามารถยึดเมืองสปิริตได้งั้นหรอ?" หานเซิ่นมองหยางม่านลี่พร้อมกับยิ้ม


"ถ้าวัดจากระดับความแข็งแกร่งของนายอย่างเดียวก็ต้องบอกว่ามันยากจริงๆ" หยางม่านลี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบพูดจาเอาใจใคร คำพูดของเธอมักออกมาตรงๆ


"งั้น เธอจะไปหรือไม่ไป?" หานเซิ่นถาม


"ไป" หยางม่านลี่ตอบอย่างไม่ลังเล


"งั้นก็ไปเตรียมตัว พวกเราจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า" หานเซิ่นยิ้มและพูด


เช้าวันต่อมา กลุ่มคนเมื่อวานก็หายไปอีกหลายคน สุดท้ายแล้วถ้ารวมหยางม่านลี่ ลุงชิงและจูถิงเข้าไปด้วย พวกเขาก็มีกันแค่ 20 คน


"ออกเดินทางได้" หานเซิ่นไม่เสียเวลาพูดอะไรมาก เขาสั่งให้กองกำลังเดินทางไปที่ภูเขาลูกใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองสปิริตทันที


เมื่อกลุ่มของพวกเขาออกเดินทาง คนจำนวนมากก็มองมาที่พวกเขา พวกเขารู้สึกว่าหานเซิ่นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ มันจะต่างจากการฆ่าตัวตายยังไง กับการพาคนจำนวนแค่นี้ไปยึดเมืองสปิริต?


แม้แต่ลุงชิงคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเขาก็ยังรับมือกับมอนสเตอร์กลายพันธ์ได้แค่ที่ละหนึ่งตัวเท่านั้น


แม้หานเซิ่นจะรับมือมอนสเตอร์กลายพันธ์ได้อีกสัก 1-2 ตัว แล้วคนที่เหลือจะทำอะไรได้? พวกเขาเพิ่งเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่เขต 2 ได้ไม่นาน และส่วนมากก็ยังเป็นแค่ผู้วิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยกลายพันธ์ ในบรรดาพวกเขามีแค่ 2 คนที่วิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยเลือดศักดิ์สิทธิ ส่วนอีก 3 คนวิวัฒนาการด้วยจีโนพ้อยโบราณเท่านั้น


คงไม่มีใครเชื่อว่าคนแค่ 20 คนแบบนี้จะสามารถยึดเมืองสปิริตระดับขุนนางได้ ทุกคนต่างก็คิดว่าพวกเขาบ้าไปแล้วมากกว่า
เมื่อเห็นพวกคนหนุ่มติดตามหานเซิ่นไป คนส่วนมากก็สงสารพวกเขา


แน่นอนว่าคนส่วนมากยินดีที่จะให้หานเซิ่นจากไป พวกเขาคิดว่าหานเซิ่นมาจากตระกูลที่โดดเด่น และยังได้รับการนับถือจากกลุ่มสตาร์รี่ เลยกลายเป็นคนที่หยิ่ง เขาสมควรจะตายที่เมืองสปิริต แต่ที่น่าเสียดายก็คือพวกลุงชิง และคนอื่นๆที่ต้องตายไปพร้อมกับเขาด้วย


บางคนคิดแย่ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาอยากให้หานเซิ่นไปตายที่นั่น และหวังให้หยางม่านลี่กับซีโร่รอดกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาจะได้มีโอกาสพิชิตใจสาวงาม


ไม่นานพวกเขาก็หายลับสายตาผู้คนไป คนจำนวนมากคิดว่าพวกเขาอาจจะหายไปตลอดกาล


แม้คนหนุ่มที่ติดตามหานเซิ่นไปจะไม่คิดว่ามีโอกาสยึดเมืองได้ แต่พวกเขาก็อยากจะวัดดวงดูสักครั้ง บางที่ถ้าทำสำเร็จ พวกเขาอาจจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่


แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังรู้สึกกังวล ยังไงที่พวกเขากำลังจะไปก็มีสปิริตระดับขุนนางเฝ้าอยู่ พวกเขายังไม่เคยเจอแม้กระทั่งสปิริตระดับทหารรับใช้หรืออัศวินมาก่อน นี่เป็นการสู้กับสปิริตครั้งแรกของพวกเขา เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะกังวลมาก


ยิ่งพวกเขาเดินทางเข้าใกล้ภูเขามากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ มีแค่ลุงชิงที่ยังดูเคร่งขรึมอยู่


ลุงชิงรู้ดีว่าหานเซิ่นไม่ใช่คนโง่ แต่ในสายตาเขา เขาก็คิดว่ายังไงคนแค่นี้ก็ยังไม่พอที่จะยึดเมืองสปิริตได้ ถ้าหานเซิ่นไม่มีกองหนุน พวกเขาก็จะมีความเสี่ยงที่สูงมาก


แต่กระนั้นด้วยความเชื่อในชื่อของหานจิงจื่ออย่างสนิทใจ ลุงชิงจึงติดตามหานเซิ่นไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง


"หนาวรึเปล่า?" ท่ามกลางพายุหิมะ หานเซิ่นจับมือซีโร่เอาไว้ และทำให้มือของเธออุ่นด้วยลมหายใจของเขา


"ไม่" ซีโร่ส่ายหัว


หานเซิ่นเพิ่งจะนึกได้ว่าซีโร่มีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเขาซะอีก ไม่มีทางที่เธอจะกลัวสภาพอากาศแบบนี้


"เมืองสปิริตอยู่ข้างหน้านั่น พวกเขาจะบุกเข้าไปจริงๆใช่ไหม?" จูถิงมองไปที่ภูเขาที่อยู่ข้างหน้า และถามย้ำอีกครั้ง


"แน่นอน" หานเซิ่นควบโกลเด้นโกรวเลอร์ตรงเข้าไปที่ภูเขาเป็นคนแรก


คนอื่นๆที่เหลือหันมามองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็ตามหานเซิ่นไป พวกเขาเหมือนเตรียมใจกันมาแล้วระดับหนึ่ง แต่ละคนควบสัตว์ขี่ของตัวเองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พวกเขากำลังมองไปที่เมืองสปิริตที่รูปร่างเหมือนปราสาทสไตล์โบราณ


เมืองสปิริตเงียบสงัด ถ้าไม่นับเสียงหิมะตก ที่นี่ก็แทบจะเรียกได้ว่าไร้เสียงโดยสมบูรณ์ เมืองนี้ดูเหมือนกับปราสาทที่ตายไปแล้ว


ลุงชิง จูถิงและหยางม่านลี่ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่านี่มันผิดปรกติมาก มอนสเตอร์และสปิริตควรจะสังเกตเห็นพวกเขานานแล้ว แต่กระนั้นก็ไม่เห็นจะมีเสียงอะไรเลย ประตูเมืองก็เปิดอยู่ แต่ก็ไม่มีมอนสเตอร์ออกมาเลย นี่มันแปลกจริงๆ


 VIPถึงตอนที่ 1386  เเล้วครับสนใจสมัครได้ที่ https://www.facebook.com/SuperGodGene/
ตอนก่อนหน้า รวมตอน ตอนถัดไป
เวลาลงนิยายคือ 14.00-19.00 ของทุกวันครับ
ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/SuperGodGene/